2 มุมมอง ก่อนศาลชี้คดี "พิธา" ถือหุ้นสื่อ ITV

พิธา จะได้ไปต่อในตำแหน่ง สส. และเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองขึ้นอีกหรือไม่ ซึ่งก็ต้องติดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่นัดแถลง 14.00 น. วันนี้

เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2567 การประชุมประจำสัปดาห์ของพรรคก้าวไกล มีรายงานว่าทีมกฎหมายค่อนข้างมั่นใจในการต่อสู้ หลังจากก่อนหน้านี้ ศาลเรียกพยาน 3 ปากเข้าไต่สวน เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2566 ที่ผ่านมา ขณะที่ สส.ก้าวไกล ก็เข้าให้กำลังใจนายพิธา ที่ได้เข้าร่วมการประชุมในฐานะสมาชิกพรรค โดยนายพิธาบอกว่า จะไปรับฟังคำวินิจฉัยด้วยตัวเอง ในเวลา 12.45 น. ซึ่งถ้าหากว่า ผลวินิจฉัยเป็นไปในทางบวก และศาลรัฐธรรมนูญ ส่งหนังสือเเจ้งมายังสภาฯ ทันเวลา ในช่วงบ่ายวันนี้ คุณพิธาก็เตรียมเดินทางจากศาลรัฐธรรมนูญไปยังอาคารรัฐสภาทันที เพื่อประชุมสภาฯ ด้วย

มุมมองก่อนศาลชี้คดี “พิธา” ถือหุ้น ITV 

ทางก้าวไกลค่อนข้างเชื่อมั่น และก่อนหน้านี้พรรคก็ได้ทำคลิปวิดีโอยกหลักฐาน 6 ข้อ เชื่อว่านายพิธาจะรอดพ้นจากข้อกล่าวหา ที่นายเรืองไกร เป็นผู้ร้องต่อศาลขอให้พิจารณาวินิจฉัย กรณีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.พรรคก้าวไกล เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการสื่อสารมวลชนอยู่ ในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส.ของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง โดยศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.2566 จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย

เนื้อหาเหตุผล 6 ข้อ คือการยืนยันว่า “ไอทีวี” ไม่มีสถานะเป็นสื่อมวลชน เพราะถูกยกเลิกสัญญาตั้งแต่ปี 2550 และมี องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ก่อให้เกิด “สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส” ขึ้นแทน นอกจากนี้ ประธานการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ยืนยันต่อศาลว่าไอทีวีไม่มีพนักงาน ไม่มีรายได้จากการทำสื่อ ไม่มีการทำสื่อ และยังไม่มีแผนจะทำสื่อ ไม่มีหลักฐานจดแจ้งการพิมพ์ ไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการภาพยนตร์ วีดิทัศน์ และสื่อโฆษณา

และสุดท้ายศาลปกครองสูงสุดเคยชี้ว่า “ไอทีวี” ไม่ปรากฏหลักฐานการดำเนินการสื่อวิทยุโทรทัศน์แล้ว

แต่ถ้ามองอีกด้าน ก็มีคนที่เชื่อมั่นว่า จะอย่างไรนายพิธาก็เข้าข่ายขาดคุณสมบัติ สส. โดยหยิบยกความคล้ายคลึงกับคดีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ต้องยุติการทำหน้าที่ สส. และถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี จากเหตุถือครองหุ้นวีลัค
หนึ่งในนั้นคือ นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ก็แสดงความเห็นผ่านเพจเฟซบุ๊ก

ทำไมหุ้น ITV ยังเป็นหุ้นสื่อมวลชน และพิธาน่าจะมีลักษณะต้องห้าม และอาจขาดคุณสมบัติ สส

นายสมชาย เสนอเป็นความเห็นส่วนตัว 4 ข้อ

  1. บริษัท ITV ยังคงเป็นสื่อมวลชน โดยอ้างอิงจากสถานะความเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีวัตถุประสงค์จดแจ้งไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเกี่ยวกับสื่อ และยังไม่ได้จดทะเบียนเลิกบริษัท จึงเห็นว่า นายพิธา น่าจะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม สอดรับกับที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในคดีการถือหุ้นบริษัทวีลัคมีเดีย ทำนองเดียวกับ สส.อีก 4 คน ที่ถูกตัดสิทธิจากเรื่องนี้เช่นกัน
  2. การที่บริษัท ITV ชนะคดีเบื้องต้นแล้ว 2 คดี รัฐต้องคืนคลื่นความถี่และชดใช้ค่าเสียหายให้ จึงเห็นว่า นายพิธาน่าจะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม เพราะคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการและศาลปกครองกลาง ให้ ITV เป็นผู้ชนะคดี ได้รับการเยียวยา และคืนสัมปทานคลื่นความถี่โทรทัศน์ ITV จึงอยู่ในฐานะที่พร้อมประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ได้
  3. บริษัท ITV ไม่ได้ประกอบกิจการแล้ว แต่ยังมีบริษัทลูก ประกอบกิจการสื่อและมีรายรับจากบริษัทอาร์ตแวร์มีเดีย ที่ ITV เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 99 จึงเห็นว่า นายพิธา น่าจะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม เช่นเดียวกับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉันที่ให้นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล พ้นจาก สส.
  4. ที่ว่านายพิธา ถือหุ้น ITV เพียงแค่เล็กน้อย ทำไมจึงผิด นายสมชายอ้างอิงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 12-14/2553 ในคดีถือหุ้นสื่อและหุ้นสัมปทานรัฐ ที่วินิจฉัยให้ รมต. สส. สว. พ้นจากสมาชิกภาพ ว่าหุ้นสื่อและหุ้นสัมปทานเป็นลักษณะต้องห้ามแม้ถือหุ้นเพียง 1 หุ้น ก็ขาดคุณสมบัติ

จึงมองว่า ข้อโต้แย้งนี้ของนายพิธา ฟังไม่ขึ้นและไม่อาจหักล้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวางแนวไว้เดิม แต่เขาก็พร้อมจะน้อมรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะออกมาในแนวทางใด

ขอขอบคุณบทความจาก : thaipbs